วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วาฬสีน้ำเงิน

       
วาฬสีน้ำเงิน  (Balaenoptera musculus) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีชิวิตอยู่บนโลก เมื่อแรกเกิด วาฬสีน้ำเงินมีลำตัวยาวเฉลี่ย 7.5 เมตร และหนักร่วม 3 ตัน  ลูกวาฬซึ่งกินเฉพาะนมแม่ที่มีไขมันสูงถึงร้อยละ 40 มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 4 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มวัยวาฬสีน้ำเงินอาจมีลำตัวยาวกว่ารถบัสถึงสองเท่าและหนักเกือบ 200 ตันได้สบายๆ
ความที่วาฬสีน้ำเงินว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับแหล่งอาศัยของมันอยู่ในที่ห่างไกลที่ซึ่งมหาสมุทรทั้งสามแห่งของโลก อันได้แก่ แปซิฟิก แอตแลนติก และอินเดีย มาบรรจบกันในน่านน้ำเย็นเยียบแถบแอนตาร์กติกา ทำให้ประชากรวาฬสีน้ำเงินส่วนใหญ่อยู่รอดปลอดภัยกระทั่งถึงช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ จนเมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นฉมวกระเบิดพร้อมเรือล่าวาฬพลังไอน้ำความเร็วสูง แหล่งที่มั่นสำคัญของวาฬสีน้ำเงินจึงถูกตีแตก ในช่วง 60 ปีแรกของศตวรรษที่ยี่สิบ คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินราว 360,000 ตัวถูกฆ่าตาย  ประชากรวาฬรอบเกาะเซาท์จอร์เจียในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ถูกล้างบาง รวมทั้งพวกที่เคยหากินอยู่นอกชายฝั่งญี่ปุ่นด้วย ประชากรวาฬสีน้ำเงินบางกลุ่มลดจำนวนลงถึงร้อยละ 99 และในที่สุดสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดของโลกชนิดนี้ก็ตกอยู่ในภาวะสูญพันธุ์
ด้วยเหตุนี้เอง นักเขียน เคนเน็ท บราวเออร์ และช่างภาพ ฟลิป นิกคลิน จึงออกเดินทางร่วมกับบรูซ เมต ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัยออริกอนสเตต และนักติดแถบข้อมูลสัญญาณดาวเทียมวาฬ ผู้เปี่ยมความคิดสร้างสรรค์และมีผลงานมากที่สุดในโลก ร่วมด้วยจอห์น คาลัมโบคิดิส นักระบุวาฬจากภาพถ่ายที่หาตัวจับยากที่สุดในแถบเวสต์โคสต์หรือชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ทั้งหมดเริ่มมุ่งหน้าออกสู่ทะเลเพื่อไปยังที่หมายนอกชายฝั่งคอสตาริกา ซึ่งเป็นบริเวณที่วาฬสีน้ำเงินจะอพยพมาอาศัยอยู่ในช่วงฤดูหนาวหรือที่เรียกกันว่า คอสตาริกาโดม (Costa Rica Dome)
คอสตาริกาโดมคือบริเวณที่น้ำเย็นอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากการบรรจบกันของกระแสลมและกระแสน้ำทางตะวันตกของอเมริกากลาง แม้ตำแหน่งดังกล่าวจะไม่แน่นอนและค่อนข้างวกวน แต่โดมที่ว่านี้มักอยู่ห่างจากชายฝั่งออกไปราว 500 ถึง 800 กิโลเมตร การลอยตัวขึ้นของน้ำเย็นที่ว่านี้จะดันให้เทอร์โมไคลน์ (thermocline) หรือ    ชั้นแบ่งระหว่างน้ำเย็นที่อยู่ลึกลงไปกับน้ำอุ่นที่อยู่บริเวณผิวน้ำ ลอยตัวขึ้นถึง 10 เมตรจากผิวน้ำ น้ำเย็นที่มีออกซิเจนต่ำ ลอยตัวขึ้นจากเบื้องล่างพร้อมกับนำไนเตรต ฟอสเฟต ซิลิเกต และสารอาหารอื่นๆขึ้นมาด้วย อาหารทิพย์เหล่านี้ทำให้เกิดโอเอซิสหรือห่วงโซ่อาหารกลางทะเลขึ้น ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของวาฬสีน้ำเงิน
ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตมโหฬารและความต้องการพลังงานมหาศาลอาจบังคับให้วาฬสีน้ำเงินต้องเสาะหาแหล่งพักพิงช่วงฤดูหนาวที่มีอาหารค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่พอประทังความหิว โอเอซิสของคอสตาริกาโดมจึงตอบสนองความต้องการของพวกมันได้ นอกจากนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของกระแสน้ำในแถบนี้ยังเอื้อให้วาฬแม่ลูกอ่อนผลิตน้ำนมจากฝูงคริลล์ (krill) ที่สวาปามเข้าไป ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกวาฬวัยกำลังกินกำลังโตที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึงวันละ 90กิโลกรัมด้วย
วาฬสีน้ำเงินได้รับการปกป้องในระดับนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1960 แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ประชากรของวาฬชนิดนี้กลับแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย ถ้าเราอยากเห็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในโลกกลับมายืนยงอีกครั้ง เมตและคาลัมโบคีดิสเชื่อว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาด้านประชากรศาสตร์และติดตามการเคลื่อนไหวของพวกมันอย่างใกล้ชิด ดังนั้น ภารกิจที่พวกเขาต้องทำก็คือ การติดแถบข้อมูลสัญญาณดาวเทียมวาฬเพื่อจะได้ติดตามได้ว่า พวกมันเดินทางไปไหนบ้างและใช้ชีวิตอย่างไร
ภารกิจเริ่มต้นขึ้นที่คอสตาริกาโดม นักวิจัยจะเริ่มขนเครื่องไม้เครื่องมือสารพัดลงไปในน้ำ เช่น เซ็นเซอร์ซีทีดี (CTD sensor) เครื่องหยั่งน้ำแบบเสียงสะท้อน (echo sounder) และไฮโดรโฟน(hydrophone) หรือไมโครโฟนใต้น้ำความไวสูง โดยเซ็นเซอร์ซีทีดีจะบันทึกความสามารถในการนำไฟฟ้า (ใช้ตวจวัดความเค็ม) อุณหภูมิ และความลึก ขณะที่เครื่องหยั่งน้ำแบบเสียงสะท้อนจะค้นหาแหล่งที่คริลล์ซึ่งเป็นอาหารหลักของวาฬสีน้ำเงินรวมตัวอยู่หนาแน่น ส่วนไฮโดรโฟนจะใช้ตรวจหาเสียงร้องของวาฬสีน้ำเงิน
เมื่อเซ็นเซอร์ซีทีดีตรวจพบเทอร์โมไคลน์ลึกลงไปใต้ผิวน้ำเพียง 20 เมตร ทีมงานก็จะปล่อยเรือติดแถบข้อมูลออกไป โดยเมตจะทำหน้าที่ติดแถบข้อมูลให้วาฬ ส่วนบราวเออร์รับหน้าที่เป็นผู้เก็บเนื้อเยื่อ เริ่มจากการเตรียมหน้าไม้ แล้วหยิบลูกดอกเก็บเนื้อเยื่อจากถังแช่ออกมา จากนั้นก็บรรจุลูกดอก ลูกดอกแบบนี้เมื่อยิงใส่วาฬแล้วจะตัดผ่านชั้นผิวหนังและไขมันลึกเข้าไปประมาณ 8 เซนติเมตร หรือจนสุดปลายจุกยางสีเหลืองที่ติดไว้ตรงปลายลูกดอกอีกด้านเพื่อกันไม่ให้เจาะเข้าไปลึกเกินไป และช่วยให้ลูกดอกหลุดออกจากตัววาฬได้ง่ายด้วย
เมื่อพูดถึงวาฬ สิ่งแรกที่เราเห็นก่อนเป็นอันดับแรกเกือบทุกครั้งคือ พวยน้ำที่มันพ่นออกมา ส่วนที่สองของวาฬที่เราเห็นคือ ส่วนหลัง และสิ่งสุดท้ายของวาฬที่เราเห็นคือ รอยหาง (flukeprint) เมื่อวาฬหรือโลมาว่ายในน้ำตื้น กระแสน้ำที่เกิดจากการตีหางจะทำให้เกิดรอยวงน้ำกลมๆขึ้นที่ผิวน้ำ ซึ่งเรียกว่า “รอยเท้าหรือรอยหาง” รอยหางของวาฬสีน้ำเงินมีขนาดใหญ่และคงอยู่ได้นานอย่างน่าแปลกใจ
หลังจากล่องเรือมานานสามสัปดาห์ ทีมงานทั้งหมดก็ได้สรุปผลงานที่ผ่านมา นับว่าประสบความสำเร็จมาก การเดินทางครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ว่า วาฬสีน้ำเงินจำนวนมากเดินทางมายังคอสตาริกาโดม ทั้งเพื่อมาผสมพันธุ์และเป็นแหล่งหากินในช่วงฤดูหนาว นับว่าข่าวที่ได้จากคอสตาริกาโดมนั้นเป็นข่าวดี เพราะนั่นหมายความว่าวาฬสีน้ำเงินที่ครั้งหนึ่งเคยลดจำนวนลงจนเกือบสูญพันธุ์ ได้พลิกฟื้นจำนวนขึ้นแล้ว
กระนั้น เราก็ควรตระหนักว่า แม้ยักษ์ใหญ่แห่งห้วงสมุทรชนิดนี้จะมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ แต่พวกมันก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะอยู่รอดต่อไป

12 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าต้องการให้แก้ไขตรงไหนบอกด้วยคะ

    ตอบลบ
  2. แล้วจะมาลงเพิ่มให้คะ

    ตอบลบ
  3. ช่วยติชมด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณทุกความคิดเห็น

    ตอบลบ
  5. ช่วยเข้ามาเช็คบ่อยๆนะคะ

    ตอบลบ
  6. จะพยายามเข้ามาลงให้นะคะ

    ตอบลบ
  7. หาข้อมูลยากมากเลยจะพยายาม

    ตอบลบ
  8. อยากทราบว่า















    โคนันเกี่ยวอะไรกับ


    วาฬสีน้ำเงิน

    ตอบลบ
  9. เป็นความชอบส่วนบุคคลคะ

    ตอบลบ
  10. แค่เอารูปมาประกอบจะได้สบายตา

    ตอบลบ
  11. ไม่เป็นไรคะเอามาลงเยอะๆๆๆๆๆๆก็ได้ชอบเหมือนกัน

    ตอบลบ